สวัสดีค่ะ สาวกของกินขนมไทยทั้งหลาย วันนี้แหนมจะพาเพื่อนๆไปท่องอยูในโลกของขนมไทย ขนมหวาน ที่ดูน่าลิ้มชิมรสเป็นยิ่งนัก ถ้าอย่างนั้นอย่ารอช้า เราไปท่องโลกขนมไทยกันเลยยยย
อร่อยลิ้ม ชิมรส มีหมดขนมไทย
วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2560
สังยาฟักทอง
- ใช้มีดเจาะไปที่ขั้วฟักทองออกให้เป็นฝา จากนั้นคว้านเอาไส้ออกจนหมดแล้วนำไปล้างให้สะอาด เตรียมไว้
- ทำส่วนของสังขยา ตอกไข่ไก่ใส่อ่างผสม ส่วนไข่เป็ดใช้เฉพาะไข่แดง เติมน้ำตาลปิ๊บ กะทิ เกลือ และใบเตยลงไปในอ่างผสม
- ขยำส่วนผสมให้เข้ากันด้วยมือ เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีแล้ว กรองด้วยตระแกรงตาถี่หรือผ้าขาวบาง
- เทสังขยาลงในลูกฟักทอง
- ตั้งน้ำให้เดือดจัด แล้วหรี่ไฟลง นำลูกฟักทองลงไปนึ่ง เวลาประมาณ 1-1.30 ชั่วโมง หรือจนกว่าฟักทองและสังขยาสุก ( เวลาในการนึ่ง อาจจะมากหรือหรือน้อย ขึ้นอยู่กับขนาดของฟักทอง )
- เมื่อสุกแล้วปิดไฟ ยกลง พักสังขยาฟักทองให้เย็นตัว ค่อยผ่าเป็นชิ้น จัดเสริ์ฟ
ถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากลองทำขนมไทยหากินยากอย่างสังขยาฟักทองด้วยตัวเองแล้วหละก็ แหนมก็มีวีดีโอการทำขนมบุหลันดันเมฆมาฝากเพื่อนๆด้วยละคะ.....
ขนมบุหลันดั้นเมฆ
ส่วนผสม
- แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
- แป้งถั่ว 3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
- น้ำดอกมะลิ 3 ถ้วยตวง
- ดอกอัญชัน 12-15 ดอก
- ไข่ไก่ใช้แต่ไข่แดง 12 ฟอง
- น้ำตาลทรายบดละเอียด 4 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
- ต้มน้ำดอกมะลิ 1 ถ้วยตวงให้เดือดใส่น้ำตาลทรายลงไป พอเดือดสักครู่จึงยกลงทิ้งไว้ให้เย็น
- นำดอกอัญชันเด็ดขั้วทิ้ง ล้างเบาๆ ให้สะอาดใส่ไว้ในถ้วยเล็กๆ เทน้ำร้อนจัดลงไป ชง เล็กน้อย จะได้น้ำสีดอกอัญชัน
- แป้งข้าวเจ้าใส่ชามรวมกับแป้งถั่ว นวดด้วยน้ำลอยดอกมะลินิดหน่อย นวดไปสักครู่จึงเติมน้ำทั้งหมดลงไปละลายให้เข้ากัน แล้วเติมน้ำเชื่อม 1 ถ้วยตวง และสีอัญชัน 1-2 ช้อนชา
- เรียงถ้วยตะไลเล็กๆ ในลังถึง นึ่งในน้ำเดือดพล่าน จนถ้วยร้อนจัด คนแป้งให้ทั่วแล้วตักหยอดให้ถ้วยเต็มโดยเร็ว เสร็จแล้วปิดฝาลังถึงนึ่งไปประมาณ 1 นาที แป้งจะจับขอบถ้วยเล็กน้อย เปิดฝาแล้วนำลังถึงลง หยิบถ้วยขนมเทแป้งส่วนที่ยังไม่สุกออกทุกถ้วย
- ใช้ไข่แดงผสมกับน้ำตาลบดละเอียด ตักหยอดกลางถ้วยแทนที่แป้ง เทออกจนเต็ม นึ่งขนมต่อไปจนสุก ยกลงปล่อยให้เย็นจึงใช้ไม้พายเล็กๆ แคะขนมเรียงใส่จาน
ถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากลองทำขนมไทยหากินยากอย่างบุหลันดั้นเมฆด้วยตัวเองแล้วหละก็ แหนมก็มีวีดีโอการทำขนมบุหลันดันเมฆมาฝากเพื่อนๆด้วยละคะ.....
วันพุธที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2560
ขนมโค
ขนมโค ขนมพื้นเมืองภาคใต้อาจจะหาอร่อย ๆ กินยากไปหน่อย แต่ไม่ต้องเดินทางไปถึงภาคใต้หรอกค่ะ แค่อยู่ที่บ้านก็ทำได้นะคะ ตัวแป้งทำเป็นสีธรรมชาติหรือใส่สีตามชอบก็ได้ ใส่ไส้น้ำตาลมะพร้าว คลุกมะพร้าวขูดเพิ่มความอร่อย
ส่วนผสม ขนมโค
• แป้งข้าวเหนียว
• น้ำตาลแว่น
• มะพร้าวขูด (เราหาไม่ได้เลยเอาเนื้อมะพร้าวทึนทึกมาสับ ๆ)
• เผือกหอมนึ่ง
• เกลือป่นเล็กน้อย (ใช้สำหรับคลุกกับมะพร้าวขูด)
• เฮลซ์บลูบอยสีแดง (สีอื่น ๆ หรือน้ำคั้นจากผักสีธรรมชาติ) ไม่ใส่ก็ได้
วิธีทำขนมโค
1. ใช้ช้อนกับส้อมบดเผือกนึ่ง เสร็จแล้วนำไปผสมกับแป้งข้าวเหนียว นวดผสมกันจนเป็นก้อน ถ้าส่วนผสมแห้งเกินไปก็เติมน้ำ ถ้าเหนียวไปก็ต้องเติมแป้งเพิ่ม ถ้าต้องการแป้งสีชมพูก็เอาน้ำหวานสีแดงผสมน้ำเปล่าเทใส่ลงไปแล้วนวดจนเข้ากัน
2. แบ่งแป้งเป็นก้อนกลม ๆ กะปริมาณของแป้งจะต้องมากพอที่จะหุ้มน้ำตาลที่ตัดเตรียมไว้ได้ แผ่เป็นแผ่นบาง กะความหนาให้พอดี วางน้ำตาลลงไปตรงกลาง คลึงให้เป็นก้อนกลม ทำเสร็จแล้วพักไว้
3. เติมน้ำสะอาดใส่ลงในหม้อ ตั้งไฟกลางรอจนน้ำเดือด ใส่ขนมโคลงไปลวกจนสุก สังเกตจากขนมลอยขึ้นมา ตักไปแช่น้ำเย็นไว้ครู่หนึ่งกันขนมติดกัน (ในสูตรไม่ชอบให้ขนมติดกันเลยใช้วิธีนี้ แต่สูตรเดิมคือไม่ต้องแช่น้ำ)
4. ตักขนมใส่จาน และนำมะพร้าวขูดคลุกกับเกลือป่นเล็กน้อย เสร็จแล้วก็นำไปคลุกกับตัวขนมหรือจะโรยก็ได้
ถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากลองทำขนมไทยหากินยากอย่างขนมจีบนกไทยด้วยตัวเองแล้วหละก็ แหนมก็มีวีดีโอการทำขนมบุหลันดันเมฆมาฝากเพื่อนๆด้วยละคะ.....
ขนมอินทนิล
รู้ไหมคะว่า มีขนมอินทนิลอยู่บนโลกใบนี้ด้วย สมัยนี้ถ้าไปหาซื้อมากินคงไม่มีขายแล้วค่ะ มาทำเองกันดีกว่า แป้งเหนียว ๆ สีเขียวใบเตย กินคู่กับน้ำกะทิอบควันเทียน ก่อนเสิร์ฟใส่น้ำแข็งลงไปอีกนิด อร่อยมากบอกเลย
ส่วนผสมตัวขนม
• แป้งมันสำปะหลัง 2 ถ้วย
• น้ำใบเตย 4 ถ้วย
• น้ำใบเตย 4 ถ้วย
ส่วนผสม น้ำกะทิ
• น้ำกะทิ 4 ถ้วย (หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง กับ หางกะทิ 3 ถ้วยตวง) หรือกะทิกระป๋อง 4 ถ้วยตวง
• น้ำตาลทราย 1+1/2 ถ้วยตวง
• เกลือป่น 1 ช้อนชา
• เทียนสำหรับอบขนม
วิธีทำขนมอินทนิล 1. ทำน้ำกะทิอบควันเทียน โดยเทน้ำกะทิลงอ่าง จุดเทียนอบขนมให้ไฟลามถึงตรงขี้ผึ้งแล้วดับเทียน ใส่เทียนลงในถ้วยเล็ก ๆ แล้วเอาใส่อ่างน้ำกะทิ ปิดฝา อบน้ำกะทิไว้ประมาณ 30 นาที แล้วจุดเทียนอบซ้ำอีก 1-2 ครั้ง ถ้ามีดอกกระดังงาก็เอาไปอบพร้อมเทียนเลย
2. พอได้น้ำกะทิที่อบควันเทียนแล้วนำขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำตาลทราย และเกลือป่น คนผสมให้ละลาย รอจนเดือดแล้วยกลง
3. ทำตัวขนม โดยผสมแป้งกับน้ำใบเตย คนให้แป้งละลายเข้ากับน้ำใบเตย นำขึ้นตั้งไฟอ่อน ใช้พายกวนตลอด ระวังอย่าให้ก้นหม้อไหม้ กวนจนขนมสุก ตัวแป้งจะเหนียวและใส พอแป้งสุกทั่วกัน เอาหม้อลงแช่ในอ่างน้ำแข็งเพื่อลดอุณหภูมิตัวขนมไม่ให้ร้อนเกินไป เดี๋ยวจะจับเป็นตัวไม่ได้
4. เตรียมถ้วยใส่น้ำไว้คอยจุ่ม ป้องกันขนมติดมือ ใช้นิ้วเปียก ๆ หยิบแป้งปั้นให้กลม ๆ ขนาดพอดีคำ แล้วหย่อนลงน้ำกะทิที่เตรียมไว้ ทำจนแป้งหมด ตัวขนมอินทนิลที่ดี ต้องไม่แข็งเป็นไตตรงกลาง ตักขนมใส่ถ้วย ใส่น้ำแข็งทุบ จัดเสิร์ฟ
2. พอได้น้ำกะทิที่อบควันเทียนแล้วนำขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำตาลทราย และเกลือป่น คนผสมให้ละลาย รอจนเดือดแล้วยกลง
3. ทำตัวขนม โดยผสมแป้งกับน้ำใบเตย คนให้แป้งละลายเข้ากับน้ำใบเตย นำขึ้นตั้งไฟอ่อน ใช้พายกวนตลอด ระวังอย่าให้ก้นหม้อไหม้ กวนจนขนมสุก ตัวแป้งจะเหนียวและใส พอแป้งสุกทั่วกัน เอาหม้อลงแช่ในอ่างน้ำแข็งเพื่อลดอุณหภูมิตัวขนมไม่ให้ร้อนเกินไป เดี๋ยวจะจับเป็นตัวไม่ได้
4. เตรียมถ้วยใส่น้ำไว้คอยจุ่ม ป้องกันขนมติดมือ ใช้นิ้วเปียก ๆ หยิบแป้งปั้นให้กลม ๆ ขนาดพอดีคำ แล้วหย่อนลงน้ำกะทิที่เตรียมไว้ ทำจนแป้งหมด ตัวขนมอินทนิลที่ดี ต้องไม่แข็งเป็นไตตรงกลาง ตักขนมใส่ถ้วย ใส่น้ำแข็งทุบ จัดเสิร์ฟ
ถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากลองทำขนมไทยหากินยากอย่างขนมจีบนกไทยด้วยตัวเองแล้วหละก็ แหนมก็มีวีดีโอการทำขนมบุหลันดันเมฆมาฝากเพื่อนๆด้วยละคะ.....
วันเสาร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2560
ขนมจีบนกไทย
ถ้าอยากทำขนมจีบเอาใจคนพิเศษ นี่เลยขอนำเสนอขนมจีบนกไทย ขนมไทยโบราณที่ต้องใช้ความประณีตในการจับจีบตัวแป้ง ให้เป็นตัวนก มาพร้อมส่วนผสมไส้กุ้ง ถ้าใครทำให้นะ รักตายเลย
ส่วนผสมไส้ขนมจีบ
• กระเทียม 3 กลีบ
• รากผักชี 4-5 ราก
• พริกไทย (ปริมาณมาก-น้อยตามชอบ)
• หอมใหญ่ (ขนาดกลาง) สับละเอียด 1 หัว
• เนื้อกุ้งสับละเอียด 400-500 กรัม
• น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
• น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
• เกลือ 1 ช้อนชา
• ถั่วลิสงคั่วบดหยาบ
• รากผักชี 4-5 ราก
• พริกไทย (ปริมาณมาก-น้อยตามชอบ)
• หอมใหญ่ (ขนาดกลาง) สับละเอียด 1 หัว
• เนื้อกุ้งสับละเอียด 400-500 กรัม
• น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
• น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
• เกลือ 1 ช้อนชา
• ถั่วลิสงคั่วบดหยาบ
ส่วนผสมแป้งขนมจีบ
• แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
• แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ
• แป้งเท้ายายม่อม 2 ช้อนโต๊ะ
• หัวกะทิ 3 ช้อนโต๊ะ
• น้ำเปล่า 1 ถ้วย
• สีผสมอาหารสีเหลือง, สีชมพู, สีฟ้า, สีม่วง
• แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ
• แป้งเท้ายายม่อม 2 ช้อนโต๊ะ
• หัวกะทิ 3 ช้อนโต๊ะ
• น้ำเปล่า 1 ถ้วย
• สีผสมอาหารสีเหลือง, สีชมพู, สีฟ้า, สีม่วง
วิธีทำไส้ขนมจีบ
1. โขลกรากผักชี กระเทียม และพริกไทยเข้าด้วยกัน เตรียมไว้
2. ตั้งกระทะแล้วใส่น้ำมันพืชลงไปเล็กน้อย พอร้อนใส่เครื่องที่โขลกไว้ลงไปผัดให้หอม ใส่หอมใหญ่สับลงไปผัดจนนิ่ม ใส่เนื้อกุ้งสับลงไปผัดให้สุกเล็กน้อย
3. ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ ตามด้วยน้ำตาลทราย และเกลือ ผัดผสมให้เข้ากันจนเริ่มงวด
3. ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ ตามด้วยน้ำตาลทราย และเกลือ ผัดผสมให้เข้ากันจนเริ่มงวด
4. ใส่ถั่วลิสงคั่วบด ผัดให้เข้ากันจนแห้งจนสามารถปั้นเป็นก้อนได้ ตักใส่จาน พักทิ้งไว้จนเย็น
5. ระหว่างที่รอไส้เย็น เตรียมผักทั้งหมดให้พร้อม หั่นแครอทเป็นสามเหลี่ยมสำหรับทำเป็นปากนก และเตรียมงาดำสำหรับทำเป็นตาเอาไว้
6. พอส่วนผสมไส้เย็นแล้ว นำมาปั้นเป็นก้อนกลม ๆ ขนาดพอดีคำ เตรียมไว้
5. ระหว่างที่รอไส้เย็น เตรียมผักทั้งหมดให้พร้อม หั่นแครอทเป็นสามเหลี่ยมสำหรับทำเป็นปากนก และเตรียมงาดำสำหรับทำเป็นตาเอาไว้
6. พอส่วนผสมไส้เย็นแล้ว นำมาปั้นเป็นก้อนกลม ๆ ขนาดพอดีคำ เตรียมไว้
วิธีทำแป้งขนมจีบ
1. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน และแป้งเท้ายายม่อมเข้าด้วยกันในอ่างผสม ใส่หัวกะทิลงไป นวดผสมด้วยมือ
2. เติมน้ำเปล่าลงไป ใช้มือนวดผสมจนแป้งละลายและไม่เป็นเม็ด เทกรองผ่านผ้าขาวบาง เทส่วนผสมแป้งลงกวนในกระทะทองด้วยไฟอ่อน กวนจนแป้งล่อนออกจากกระทะ
3. นำมานวดโดยโรยแป้งมันลงไปเล็กน้อยเพื่อกันติดด้วย ใช้ตัวช่วยนวดแป้งป้องกันมือพอง พอแป้งอุ่นแล้วก็ใช้มือนวดแป้งตามปกติ
4. แบ่งแป้งเป็น 4 ส่วนแล้วนวดผสมกับสีผสมอาหารทั้ง 4 สี (ผสมสีกับแป้งนิดเดียวพอ สีจะได้ออกมาแบบธรรมชาติ
5. ห่อแป้งแต่ละสีด้วยพลาสติกถนอมอาหาร (แป้งจะได้ไม่แห้ง) จากนั้นตัดแป้งแต่ละสีเป็นก้อน ๆ ขนาดให้ใหญ่กว่าไส้นิดหนึ่ง
6. ปั้นแป้งเป็นก้อนกลม ๆ แล้วขึ้นรูปให้คล้ายผลชมพู่ กดก้นให้เป็นเบ้าลึก (พอให้ใส่ไส้ได้) นำไส้ใส่ลงไปในหลุมแป้ง แล้วห่อปิดแป้งให้มิด จากนั้นทำให้รูปร่างให้เป็นนก ใส่ปากแครอท ติดตางาดำ เตรียมไว้
7. ใช้แหนบบีบเพื่อทำจีบที่ตัวขนมให้มีลักษณะคล้ายปีกนกให้สวยงาม
8. ใส่ขนมจีบลงในชุดนึ่งที่รองใบตองไว้ พรมน้ำลงไป จากนั้นปิดฝานึ่งด้วยไฟแรง นาน 5 นาที
9. เมื่อครบ 5 นาทีให้พรมน้ำอีกครั้ง จากนั้นทาน้ำมันกระเทียมเจียวให้ทั่วขนม
10. จัดใส่จาน เสิร์ฟพร้อมผักกาดหอม ผักชี และพริกชี้ฟ้าแดง
2. เติมน้ำเปล่าลงไป ใช้มือนวดผสมจนแป้งละลายและไม่เป็นเม็ด เทกรองผ่านผ้าขาวบาง เทส่วนผสมแป้งลงกวนในกระทะทองด้วยไฟอ่อน กวนจนแป้งล่อนออกจากกระทะ
3. นำมานวดโดยโรยแป้งมันลงไปเล็กน้อยเพื่อกันติดด้วย ใช้ตัวช่วยนวดแป้งป้องกันมือพอง พอแป้งอุ่นแล้วก็ใช้มือนวดแป้งตามปกติ
4. แบ่งแป้งเป็น 4 ส่วนแล้วนวดผสมกับสีผสมอาหารทั้ง 4 สี (ผสมสีกับแป้งนิดเดียวพอ สีจะได้ออกมาแบบธรรมชาติ
5. ห่อแป้งแต่ละสีด้วยพลาสติกถนอมอาหาร (แป้งจะได้ไม่แห้ง) จากนั้นตัดแป้งแต่ละสีเป็นก้อน ๆ ขนาดให้ใหญ่กว่าไส้นิดหนึ่ง
6. ปั้นแป้งเป็นก้อนกลม ๆ แล้วขึ้นรูปให้คล้ายผลชมพู่ กดก้นให้เป็นเบ้าลึก (พอให้ใส่ไส้ได้) นำไส้ใส่ลงไปในหลุมแป้ง แล้วห่อปิดแป้งให้มิด จากนั้นทำให้รูปร่างให้เป็นนก ใส่ปากแครอท ติดตางาดำ เตรียมไว้
7. ใช้แหนบบีบเพื่อทำจีบที่ตัวขนมให้มีลักษณะคล้ายปีกนกให้สวยงาม
8. ใส่ขนมจีบลงในชุดนึ่งที่รองใบตองไว้ พรมน้ำลงไป จากนั้นปิดฝานึ่งด้วยไฟแรง นาน 5 นาที
9. เมื่อครบ 5 นาทีให้พรมน้ำอีกครั้ง จากนั้นทาน้ำมันกระเทียมเจียวให้ทั่วขนม
10. จัดใส่จาน เสิร์ฟพร้อมผักกาดหอม ผักชี และพริกชี้ฟ้าแดง
ถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากลองทำขนมไทยหากินยากอย่างขนมจีบนกไทยด้วยตัวเองแล้วหละก็ แหนมก็มีวีดีโอการทำขนมบุหลันดันเมฆมาฝากเพื่อนๆด้วยละคะ.....
ขนมช่อม่วง
สมัยนี้ขนมช่อม่วงหากินยาก ถ้ามีขายก็ราคาแพง ถ้าใครมีเวลาว่างอยากชวนมาทำกินกันเอง มีทั้งสูตรส่วนผสมแป้งและไส้หมู ขั้นตอนอาจเยอะแต่ไม่ยากค่ะ วิธีการจับจีบแรก ๆ อาจมือไม้สั่น แต่ถ้าทำไปเรื่อย ๆ รับรองออกมาสวยแน่นอน
ส่วนผสมไส้ช่อม่วง
• น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
• หมูสามชั้นต้มสุก 1/4 ถ้วย (หั่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ)
• ฟักเชื่อมแห้ง 150 กรัม (หั่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ)
• เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
• น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
• งาขาวคั่ว 50 กรัม
• ถั่วลิสงคั่ว 50 กรัม
• หมูสามชั้นต้มสุก 1/4 ถ้วย (หั่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ)
• ฟักเชื่อมแห้ง 150 กรัม (หั่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ)
• เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
• น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
• งาขาวคั่ว 50 กรัม
• ถั่วลิสงคั่ว 50 กรัม
ส่วนผสมแป้งช่อม่วง
• แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
• แป้งเท้ายายม่อม 1/2 ช้อนโต๊ะ
• แป้งมันสำปะหลัง 1/2 ช้อนโต๊ะ
• น้ำลอยดอกมะลิ 1 ถ้วย (หรือน้ำผสมกลิ่นมะลิ)
• ดอกอัญชัน 10 ดอก
• แป้งมันสำปะหลัง เล็กน้อย (สำหรับทาแหนบตอนจับจีบขนม)
• ผักกาดหอม สำหรับเสิร์ฟ
• กระเทียมเจียว (โรยหน้า)
• พริกขี้หนูสวน (โรยหน้า)
• แป้งเท้ายายม่อม 1/2 ช้อนโต๊ะ
• แป้งมันสำปะหลัง 1/2 ช้อนโต๊ะ
• น้ำลอยดอกมะลิ 1 ถ้วย (หรือน้ำผสมกลิ่นมะลิ)
• ดอกอัญชัน 10 ดอก
• แป้งมันสำปะหลัง เล็กน้อย (สำหรับทาแหนบตอนจับจีบขนม)
• ผักกาดหอม สำหรับเสิร์ฟ
• กระเทียมเจียว (โรยหน้า)
• พริกขี้หนูสวน (โรยหน้า)
วิธีทำไส้ขนมช่อม่วง
1. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชลงไป เอาหมูสามชั้นที่หั่นไว้ลงไปผัด ใช้ไฟปานกลาง รอจนน้ำมันหมูออกมาและหมูเริ่มสุกสีเหลือง
2. ใส่ฟักเชื่อมลงไปผัดใช้ไฟอ่อน ปรุงรสด้วยเกลือและน้ำตาลทราย ใส่งาขาวและถั่วลิสงลงไป ผัดให้เข้ากันดีจนแห้ง ตักใส่ชาม เตรียมไว้
2. ใส่ฟักเชื่อมลงไปผัดใช้ไฟอ่อน ปรุงรสด้วยเกลือและน้ำตาลทราย ใส่งาขาวและถั่วลิสงลงไป ผัดให้เข้ากันดีจนแห้ง ตักใส่ชาม เตรียมไว้
วิธีทำดอกขนมช่อม่วง
1. เริ่มทำดอกช่อม่วงโดยปั้นแป้งให้เป็นก้อนกลม ๆ ประมาณ 3/4 นิ้ว แล้วแผ่แป้งให้เป็นแผ่นบาง ๆ กะพอให้หุ้มไส้ได้จนมิด ตักไส้ที่ผัดไว้ใส่ลงไปแล้วห่อจากมุมเข้าหากัน จากนั้นใช้มือคลึงให้แป้งหุ้มไส้จนมิด ทำจนหมด เตรียมไว้
2. เริ่มทำจีบโดยเอาทาแป้งข้าวเจ้าที่ปลายแหนบทองเหลืองเล็กน้อย เริ่มจับจีบชั้นที่ 1 โดยจับจากกึ่งกลางของขนม จับจีบวนไปเรื่อย ๆ จนครบรอบ (อย่าจับจีบให้ติดกันมาก)
3. เริ่มชั้นที่ 2 โดยจับจีบให้เอียงจากชั้นแรกเล็กน้อย (ประมาณ 45 องศา) และสับหว่างกันกับชั้นแรก จับจีบจนครบรอบ
4. เริ่มจับจีบชั้นที่ 3 ประมาณ 2-3 จีบและสับหว่างกันกับกลีบชั้นที่ 2
5. นำไปเรียงบนใบตองที่ทาน้ำมันแล้วในชุดนึ่ง โดยวางเรียงห่างกันเล็กน้อยเวลาสุกจะได้ไม่ติดกัน
6. ตั้งชุดนึ่งใช้ไฟแรง รอจนน้ำเดือดจัดจึงนำขนมไปนึ่งนานประมาณ 5 นาที
7. พอสุกแล้วนำช้อนจุ่มน้ำมันพืชตักช่อม่วงใส่จาน เสิร์ฟคู่กับผักกาดหอม และพริกขี้หนูสวน
3. เริ่มชั้นที่ 2 โดยจับจีบให้เอียงจากชั้นแรกเล็กน้อย (ประมาณ 45 องศา) และสับหว่างกันกับชั้นแรก จับจีบจนครบรอบ
4. เริ่มจับจีบชั้นที่ 3 ประมาณ 2-3 จีบและสับหว่างกันกับกลีบชั้นที่ 2
5. นำไปเรียงบนใบตองที่ทาน้ำมันแล้วในชุดนึ่ง โดยวางเรียงห่างกันเล็กน้อยเวลาสุกจะได้ไม่ติดกัน
6. ตั้งชุดนึ่งใช้ไฟแรง รอจนน้ำเดือดจัดจึงนำขนมไปนึ่งนานประมาณ 5 นาที
7. พอสุกแล้วนำช้อนจุ่มน้ำมันพืชตักช่อม่วงใส่จาน เสิร์ฟคู่กับผักกาดหอม และพริกขี้หนูสวน
ถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากลองทำขนมไทยหากินยากอย่างช่อม่วงด้วยตัวเองแล้วหละก็ แหนมก็มีวีดีโอการทำขนมบุหลันดันเมฆมาฝากเพื่อนๆด้วยละคะ.....
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)